โดย อาจารย์วิไลพรรณ เจสะวะ คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี
ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม เป็นระบบเศรษฐกิจที่มีพื้นฐานอยู่ที่นายทุนภาคเอกชนจำนวนหนึ่งเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต และทำการผลิตโดยจ้างแรงงานผู้รับจ้างหรือลูกจ้างผู้ใช้แรงงาน เพื่อการแสวงหากำไร ( มูลค่าส่วนเกิน ) โดยมีกลไกตลาดที่ทำให้เกิดการแข่งขันกันระหว่างผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าหรือบริการประเภทเดียวกัน และทำให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรม การพาณิชย์ และการให้บริการอย่างมาก ซึ่งถือว่าเป็นพลังผลักดันให้เกิดการประดิษฐ์คิดค้น และการผลิตขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ นำไปสู่การกระจายตัวและการรวมศูนย์ทุนการผลิตขนาดใหญ่และการผูกขาด โดยในการแข่งขันกันนั้น ผู้ประกอบการขนาดใหญ่มักจะเอาเปรียบผู้ประกอบการรายอื่นโดยวิธีการต่างๆ ทำให้ตลาดไม่มีการแข่งขันอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากธุรกิจหรืออุตสาหกรรมใด ผู้ประกอบการที่มีอำนาจผูกขาด และสามารถใช้อำนาจผูกขาดในการแสวงหากำไรส่วนเกินได้ ย่อมทำให้หน่วยธุรกิจนั้นๆ ได้รับผลตอบแทนเกินกว่าที่ควรจะเป็น ผลที่ตามมาก็คือ ทำให้การกระจายรายได้ไม่มีความเท่าเทียมกัน หรือช่องว่างระหว่างรายได้ของคนจนกับคนรวยยิ่งห่างมากขึ้นเรื่อยนั่นเอง และทำให้การจัดสรรทรัพยากรขาดประสิทธิภาพด้วย
การกระทำที่เป็นการกีดกันทางการค้าของผู้ประกอบการที่มีอำนาจผูกขาดในตลาดต่อผู้ประกอบการรายใหม่ หรือผู้ประกอบการอื่นๆ ประการหนึ่งได้แก่ กรณี “ ข้อตกลงที่เป็นการจำกัดการแข่งขันในแนวดิ่ง ” ( Vertical Restraints Agreement )
ข้อตกลงที่เป็นการจำกัดการแข่งขันในแนวดิ่ง ( Vertical Restraint Agreement) เป็นรูปแบบของการร่วมมือกันของผู้ประกอบการในธุรกิจอย่างเดียวกัน แต่มีสถานะต่างกัน โดยสืบทอดต่อกันในกระบวนการของธุรกิจนั้น ( Stage of Production ) ร่วมกันก่อให้เกิดการจำกัดการแข่งขันทางธุรกิจ เช่น การรวมตัวกันในระหว่างผู้ผลิตกับผู้จำหน่าย การรวมตัวกันของพ่อค้าปลีกกับพ่อค้าส่งเป็นต้น ดังปรากฏในแผ่นภาพดังนี้
A 1 supplier A 2
B 1 manufacturer B 2
C 1 distributor C 2
1 2 3 4 consumers 1 2 3 4
ที่มา : ศิริพล ยอดเมืองเจริญ ,การพัฒนาการป้องกันการผูกขาดทางธุรกิจเพื่อประสิทธิภาพกลไกทางการตลาดและเศรษฐกิจ , หน้า 46
ตามภาพผู้ผลิต B1 ตกลงกับผู้จำหน่าย C1 ในการกำหนดราคาขายปลีกไว้เพื่อรักษาราคาให้อยู่ในระดับพอเหมาะจะเห็นได้ว่า ผู้บริโภคเดือดร้อนและบางครั้งกีดกันคู่แข่งขัน B2 และ C2 ด้วย
ข้อตกลงที่เป็นการจำกัดการแข่งขันในแนวดิ่งนั้น สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. เป็นข้อตกลงที่จำกัดในด้านการจำหน่ายสินค้า
2. ข้อตกลงที่มีเพื่อกีดกันคู่แข่งให้ออกจากตลาดโดยเฉพาะ
กล่าวโดยละเอียดคือ ในกรณีที่ผู้ผลิตจะจำหน่ายสินค้าและบริการให้แก่ผู้บริโภคนั้น เขาอาจขายโดยตรงด้วยการขายผ่านพนักงานของตน หรือโดยอ้อม ด้วยการจำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่าย ได้แก่ ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หากผู้ผลิตที่อยู่ในฐานะเป็นผู้ครองตลาด และต้องการรักษากำไรสูงสุดของตนไว้ ผู้ผลิตจะดำเนินนโยบายที่ก่อให้เกิดการจำกัดการจำหน่ายสินค้าโดยการกระทำดังต่อไปนี้
1. การรักษาระดับราคาขายปลีก ( Resale Price Maintenance ) ซึ่งจะทำได้ต่อเมื่อสินค้านั้นไม่มีสินค้าอื่นทดแทน หรือสินค้าทดแทนมีราคาสูงกว่าสินค้าของผู้ผลิต รวมทั้งผู้ผลิตอยู่ในฐานะเป็นผู้ครองตลาด
2. การทำสัญญาผูกมัด ( Tying Contract ) เป็นกรณีที่มีการตกลงระหว่างผู้ซื้อ หรือผู้เช่าสินค้าของผู้ผลิตซึ่งมักเป็นสินค้าที่ได้รับการจดสิทธิบัตร โดยผู้ซื้อหรือผู้เช่าต้องซื้อสินค้าอื่นร่วมไปกับสินค้าที่ตนไม่ต้องการ หรือวัตถุดิบซึ่งสามารถซื้อได้จากแหล่งอื่นในราคาที่ถูกกว่าของผู้ผลิต ซึ่งเรียกว่าเป็น “สินค้าผูกมัด” ทำให้ผู้ซื้อมีภาระในการที่จะต้องชำระราคาเกินปกติ
3. การทำข้อตกลงเฉพาะราย ( Exclusive Contract ) ได้แก่ ข้อตกลงในเรื่องต่อไปนี้
3.1 ผู้ขายส่งสินค้าเสนอขายสินค้าต่อผู้ขายปลีก โดยกำหนดเงื่อนไขว่า ผู้ขายปลีกจะต้องไม่รับสินค้าจากคู่แข่งของผู้ขายส่ง มาขายด้วย
3.2 ผู้ขายส่งสินค้าเสนอลดพิเศษให้แก่ผู้ขายปลีก โดยมีเงื่อนไขว่า ลูกค้ารายนั้นจะไม่ขายสินค้าต่อไปยังบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ตามที่ตกลงกันไว้ หรือในเขตท้องที่ใดท้องที่หนึ่ง ตามที่ตกลงกันไว้
3.3 ผู้ขายส่งสินค้าปฏิเสธขายสินค้าแก่ผู้ขายปลีกของตนด้วยเหตุที่ว่า ผู้ขายปลีก
1. ได้ซื้อ หรือไม่ยอมตกลงว่าจะไม่ซื้อสินค้าจากผู้แข่งขันของผู้ขายส่ง
2. ได้ขายต่อ หรือไม่ยอมตกลงว่าจะไม่ขายต่อซึ่งสินค้าที่ซื้อจากผู้ขายส่งไปยังบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือไปที่ใดที่หนึ่ง
3.4 ผู้ขายปลีกสินค้าตกลงรับซื้อ หรือจะรับซื้อจากผู้ขายส่ง โดยที่มีเงื่อนไขว่าผู้ขายส่งจะต้องไม่ขายสินค้าชนิดเดียวกันให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือที่ใดที่หนึ่ง
3.5 ผู้ขายส่งตกลงขายสินค้า หรือให้ส่วนลดพิเศษแก่ผู้ขายปลีกของตน โดยกำหนดเงื่อนไขว่า ผู้ขายปลีกผู้นั้นจะต้องรับซื้อสินค้าอย่างใดอย่างหนึ่งจากผู้ขายด้วย
4. การกำหนดราคาโดยการเลือกปฏิบัติ ( Price Discrimination ) เป็นการกำหนดราคาโดยการเลือกปฏิบัติระหว่างผู้ซื้อต่างรายกันในสินค้าที่มีคุณภาพเหมือนกัน ซึ่งเป็นผลให้เกิดการจำกัดการแข่งขันทางการค้า
ระบบกฎหมายป้องกันการผูกขาด ในกรณีข้อตกลงที่เป็นการจำกัดการแข่งขันในแนวดิ่งของไทยนั้น เป็นระบบ “หลักการควบคุมพฤติกรรมที่ไม่ชอบ (Control of Abuse )
ซึ่งกำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ป้องกันการผูกขาดและกีดกันทางการค้า พ.ศ.2542 มาตรา 27 กล่าวคือ “ ห้ามมิให้ผู้ประกอบธุรกิจใดร่วมกับผู้ประกอบธุรกิจอื่นกระทำการใดๆ อันเป็นการผูกขาด หรือลดการแข่งขันหรือจำกัดการแข่งขันในตลาดสินค้าใดสินค้าหนึ่ง หรือบริการใดบริการหนึ่งในลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
1. กำหนดราคาขายสินค้าหรือบริการเป็นราคาเดียวกัน หรือตามที่ตกลงกัน หรือจำกัดปริมาณการขายสินค้าหรือบริการ
2. กำหนดราคาซื้อสินค้าหรือบริการอย่างเดียวกัน หรือตามที่ตกลงกัน หรือจำกัดปริมาณการรับซื้อสินค้าหรือบริการ
3. ทำความตกลงร่วมกันเพื่อเข้าครอบครองตลาดหรือควบคุมตลาด
4. กำหนดข้อตกลงหรือเงื่อนไขในลักษณะสมรู้กัน เพื่อให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้รับการประมูลหรือประกวดราคาสินค้าหรือบริการ เพื่อมิให้ฝ่ายหนึ่งเข้าแข่งขันราคาใน การประมูลหรือการประกวดราคาสินค้าหรือบริการ
5. กำหนดแบ่งท้องที่ที่ผู้ประกอบธุรกิจแต่ละรายจะจำหน่ายหรือลดการจำหน่ายสินค้าหรือบริการได้ในท้องถิ่นนั้น หรือกำหนดลูกค้าที่ประกอบธุรกิจแต่ละรายจะจำหน่ายสินค้าหรือบริการได้โดยผู้ประกอบธุรกิจอื่นจะไม่จำหน่ายสินค้าหรือบริการนั้นแข่งขัน
6. กำหนดแบ่งท้องที่ที่ผู้ประกอบธุรกิจแต่ละรายจะซื้อสินค้าหรือบริการได้ หรือกำหนดตัวผู้ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจจะซื้อสินค้าหรือบริการได้
7. กำหนดปริมาณของสินค้าหรือบริการ ที่ผู้ประกอบการธุรกิจแต่ละราย จะผลิต ซื้อ จำหน่าย หรือบริการ เพื่อจำกัดปริมาณให้ต่ำกว่าความต้องการของตลาด
8. ลดคุณภาพของสินค้า หรือบริการให้ต่ำลงกว่าที่เคยผลิต จำหน่าย หรือให้บริการ โดยจำหน่ายในราคาเดิมหรือสูงขึ้น
9. แต่งตั้งมอบหมายให้บุคคลใดแต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้จำหน่ายสินค้า หรือให้บริการอย่างเดียวกัน หรือประเภทเดียวกัน
10. กำหนดเงื่อนไขหรือวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการซื้อ หรือการจำหน่ายสินค้าหรือสินค้าหรือการบริการเพื่อให้เป็นแบบเดียวกันหรือตามที่ตกลงกัน
ในกรณีที่มีความจำเป็นทางธุรกิจที่ต้องกระทำตาม (5)(6)(7)(8)(9) หรือ (10) ในระยะเวลาใดระยะเวลาหนึ่ง ให้ผู้ประกอบธุรกิจยื่นคำขออนุญาตต่อคณะกรรมการตามมาตรา 35 ”
ผลที่เกิดขึ้นจากการป้องกันการผูกขาดและกีดกันทางการค้า กรณีข้อตกลงที่เป็นการจำกัดการแข่งขันในแนวดิ่ง
ผลดี
1. มีการตัดราคากันเองในระหว่างผู้จัดจำหน่ายในระดับต่างๆ ในสินค้าชนิดเดียวกัน ทำให้เกิดผลดีคือ ราคาสินค้าถูกลงประชาชนผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากการที่สินค้าราคาถูกลง
2. ไม่มีการตกลงไม่แข่งขันกันเกิดขึ้น ทำให้ต้องพัฒนาเทคโนโลยีของตนอยู่ตลอดเวลา ทำให้สินค้าหรือบริการมีคุณภาพมากขึ้น
3. ผู้ประกอบการที่เป็นผู้ขายปลีกมีความเป็นอิสระในการตั้งเงื่อนไขการขาย หรือให้บริการต่างๆได้เอง ซึ่งจะเป็นผลทำให้เกิดราคาขายหรือบริการที่เหมาะสมตามภาวะตลาด และความต้องการของลูกค้า
4. ผู้บริโภคมีทางเลือกในการซื้อสินค้าและบริการมากขึ้นเพราะ ผู้ประกอบการที่เป็นผู้จำหน่ายปลีก ไม่อยู่ภายใต้บังคับของผู้ผลิตสินค้า
ผลเสีย
1. ทำให้ต้นทุนการโฆษณาของผู้ผลิตแต่ละรายเพิ่มขึ้น เมื่อเกิดการแข่งขึ้นกันอย่างสมบูรณ์
2. ราคาสินค้าในตลาดไม่มีเสถียรภาพ เนื่องจากสินค้าและบริการ เพิ่มขึ้นลดลงอยู่ตลอดเวลา ตามเงื่อนไขของกลไกตลาด
3. เมื่อไม่มีการตกลงใด อาจมีการกำหนดราคาสินค้าเองได้อย่างเสรี ซึ่งอาจแพงเกินไปได้ หากท้องที่ที่ขายไม่มีคู่แข่งขันเลย
บทสรุปและข้อเสนอแนะ
1.บทสรุป
จากการศึกษาเรื่อการป้องกันการผูกขาดและกีดกันทางการค้า กรณีข้อตกลงที่เป็นการจำกัดการแข่งขันในแนวดิ่งนั้น ก็ทำให้ทราบว่า แม้ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมจะเป็นระบบที่เชื่อกันว่าดีที่สุด เพราะราคาสินค้าและบริการจะถูกควบคุมโดยกลไกของตลาดโดยอัตโนมัติ แต่ในความเสรีนี่เองเป็นต้นเหตุของการที่ผู้ประกอบการที่มีกำลังการผลิตเหนือคนอื่น ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยหลายประการ มาทำการผูกขาดทางการค้าและจำกัดการแข่งขันผู้ประกอบการรายอื่นซึ่งยังใหม่ หรือมีกำลังการผลิตน้อยกว่า
ดังนั้น การที่มีกฎหมายป้องกันการผูกขาดและกีดกันทางการค้าขึ้นมา เพื่อควบคุมพฤติกรรมดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นความสมควรอย่างยิ่งแล้ว เพราะเป็นกฎหมายที่สร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม เนื่องจากหากไม่มีการควบคุมดังกล่าว การค้าเสรีก็จะกลายเป็นการผูกขาดโดยผู้ประกอบการที่มีอำนาจเหนือตลาดแน่นอน และผลที่ตามมาก็คือช่องว่างระหว่างรายได้ในสังคมก็จะห่างมากขึ้นเรื่อยๆ คนรวยก็จะรวยมากคนจนก็จะถูกเอาเปรียบและจนไปเรื่อยๆ ซึ่งถือว่าไม่เป็นการทำให้ประเทศชาติเกิดการพัฒนาเลย แม้ว่าความพัฒนาที่เกิดขึ้นจากการค้าเสรีสูงสุดจะทำให้ประเทศมีรายได้ประชาชาติสูงขึ้น แต่ก็ถือว่าเป็นการพัฒนาในเชิงเศรษฐกิจเท่านั้น และรายได้ที่นำมาคำนวณแล้วทำให้ได้ตัวเลขสูงๆดังกล่าว ก็เป็นการคิดจากรายได้ผู้ที่เป็นเจ้าของกิจการที่ร่ำรวยเท่านั้น คนจนที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศก็ยังยากจนอยู่เหมือนเดิม
การมีกฎหมายป้องกันการผูกขาดและการกีดกันทางการค้านี้ จึงเป็นกฎหมายที่ทำให้ประเทศชาติพัฒนาได้ กล่าวคือเป็นกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการที่เริ่มต้นทำธุรกิจรายอื่น ที่ยังมีกำลังน้อยอยู่ได้มีโอกาสเข้ามาแข่งขันในระบบเศรษฐกิจของประเทศได้ ทำให้รายได้การการผลิตดังกล่าว ได้กระจายไปสู่ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ ซึ่งอาจจะเป็นในรูปของผู้ใช้แรงงาน หรือผู้บริโภคที่ได้รับประโยชน์จากการแข่งขันที่แท้จริง เป็นต้น คุณภาพชีวิตของประชาชนก็จะดีขึ้น ไม่ใช่มีแต่เพียงความพัฒนาที่เป็นเชิงปริมาณเหมือนในอดีตที่ผ่านมา และเมื่อประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น จากการมีกฎมายป้องกันการผูกขาดฯ ดังกล่าวมาข้างต้นแล้ว แม้จะเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ใช้กฎหมายให้เกิดการพัฒนา แต่ก็ถือว่ากฎหมายฉบับนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศชาติเกิดการพัฒนาที่แท้จริงและยั่งยืนได้
2. ข้อเสนอแนะ
เนื่องจากเนื้อหาโดยรวม ของกฎหมายป้องกันการผูกขาดเป็นกฎหมายที่มีประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจ และการพัฒนาของประเทศดีแล้ว จึงมีความเห็นว่า พระราชบัญญัติป้องการผูกขาดและกีดกันทางการค้า พ.ศ. 2542 นี้ เป็นกฎหมายที่ดีแล้ว แต่ก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่บางประการ จึงมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกฎหมายฉบับนี้ดังต่อไปนี้คือ
1. กฎหมายฉบับนี้ยังมีเนื้อความของบทบัญญัติอยู่หลายจุด ที่ไม่ชัดเจนในความหมาย ทำให้ต้องมีการตีความอยู่เสมอ ประกอบกับลักษณะของการประกอบธุรกิจนั้นมีอยู่มากมาย ยากที่จะปรับตัวบทกฎหมายกับข้อเท็จจริงได้ เช่นการตีความคำว่า อำนาจเหนือตลาด กับข้อเท็จจริงต่างๆที่เกิดขึ้น เป็นการลำบากในการตีความของผู้ใช้กฎหมายที่ไม่อาจมีความรู้ในทางเศรษฐกิจหรือการค้าทุกคนได้ ดังนั้นจึงเห็นว่าควรมีการระบุถึงหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่จะเป็นปัญหาให้ต้องตีความบ่อย โดยระบุไว้ในตัวพระราชบัญญัติ เพราะประชาชนทั่วไปจะได้รู้และเข้าถึงข้อห้ามต่าง ๆ
2. การดำเนินทางกฎหมายต่อผู้กระทำผิดในทางอาญา น่าจะเปิดโอกาสให้ผู้เสียหายที่เป็นเอกชนสามารถฟ้องเองได้โดยการปรึกษาคณะกรรมการการแข่งขัน เนื่องจากการที่ให้การดำเนินการทางอาญาโดยผ่านคณะกรรมการการแข่งขันฝ่ายเดียวอาจมีความล่าช้า และเป็นผลให้เรียกค่าเสียหายได้ช้าด้วย ทำให้ผู้กระทำผิด ไม่ค่อยเกรงกลัวกฎหมาย
บรรณานุกรม
ไกรยุทร ธีรตยาคีนันท์. ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการแทรกแซงของรัฐ . กรุงเทพ :
ไทยวัฒนาพาณิชย์ , 2525
ไชยยศ เหมะรัชตะ. รายงานการวิจัยเรื่องการกำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาด.
เอกสารโรเนียว ,2534
ณรงค์ เพชรประเสริฐ. กลุ่มทุนนิยมผูกขาดในประเทศไทย . กรุงเทพ : สำนักพิมพ์
ปุถุชน , 2524
ภูมิ โชคเหมาะ.กฎหมายเศรษฐกิจ.เอกสารประกอบการบรรยายวิชากฎหมายเศรษฐกิจ
ในชั้นปริญญาโทม.รามคำแหง,ไม่ปรากฎปีที่พิมพ์
ศิริพล ยอดเมืองเจริญ. การพัฒนาการป้องกันการผูกขาดทางธุรกิจเพื่อประสิทธิภาพ
กลไลการตลาดและเศรษฐกิจ . เอกสารโรเนียว, 2535.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น